เล่นแบบอิสระ/เล่นแบบมีกฎเกณฑ์ ให้ลูกเล่นแบบไหนดี?

   วัยเด็กเป็นวัยแห่งการเล่น การเล่นคือกิจกรรมที่ทำให้เกิดความสนุกสนานสำหรับเด็กทุกคน รูปแบบการเล่นของเด็กๆที่คุณพ่อคุณแม่คุ้นเคยกันดี มี 2 แบบ คือ

การเล่นแบบอิสระ(Free play/ Unstructured Play)

การเล่นแบบมีกฎเกณฑ์(Structured Play)

การเล่นโดยที่ไม่มีการกำหนดวิธีการเล่นและเป้าหมายของการเล่น เช่น วิ่งเล่นปีนป่ายกับเพื่อน ต่อตัวต่อ(ไม่มีแบบในการต่อ)

• ข้อดีของการเล่นแบบอิสระ( Free play)

เด็กจะมีความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการในการเล่น รู้จักเรียนรู้เมื่อผิดพลาดและหาหนทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ปลดปล่อยความรู้สึกขณะเล่นได้อย่างเต็มที่

• การเล่นแบบมีกฎเกณฑ์ Structured Play คืออะไร

การเล่นที่มีการกำหนดวิธีการเล่นและเป้าหมายของการเล่น โดยส่วนมากจะมีกฎว่าเล่นอย่างไร เล่นไปเพื่ออะไร โดยคุณพ่อคุณแม่อาจเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเล่น เช่น เล่นฟุตบอล (มีการเเบ่งทีมชัด มีกฎกติกาขณะเล่น เป้าหมายเพื่อชนะ)

• ข้อดีของการเล่นเเบบมีเเบบเเผน (Structured Play)

เด็กจะได้รู้จักการทำงานเป็นทีม ฝึกทักษะการสื่อสารเเละการเป็นผู้ฟังที่ดี ทั้งกับเพื่อนร่วมเล่นและผู้ใหญ่ที่กำกับดูเเล

เปรียบเทียบความแตกต่าง

คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกเล่นแบบไหนดีกว่ากัน??

การเล่นทั้งสองเเบบมีข้อดีที่เเตกต่างกัน การเล่นแบบอิสระจะทำให้เด็กได้มีโอกาสคิดนอกกรอบ ฝึกจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ ส่วนการเล่นมีกฎเกณฑ์ คือการฝึกการคิดที่มีเหตุมีผล การทำตามกฎกติกา เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคำถามที่ว่า ควรเล่นเเบบไหน?? คำตอบคือขึ้นอยู่กับอายุเเละระดับพัฒนาการของลูก

การเล่นเเบบอิสระ (Free Play)เหมาะสำหรับเด็กเล็ก เพราะเป็นวัยที่ซุกซนชอบสำรวจ ค้นหาเเละลงมือทำ ส่วนการเล่นเเบบมีกฎเกณฑ์ (Structured Play) นั้นจะเหมาะกับเด็กทุกวัยเเต่จะเหมาะกับเด็กอายุ 8 ปี ขึ้นไปที่สุด เพราะเสริมสร้างระเบียบวินัย เพราะการเล่นนั้นมีกฎเกณฑ์เเละเป้าหมายที่ชัดเจน

หากคุณพ่อคุณเเม่สังเกตเห็นลูกเบื่อจากการเล่นที่กำหนดกฎเกณฑ์ อาจจะเปลี่ยนให้ลูกไปวิ่งเล่นอย่างอิสระ ให้เขาได้ผ่อนคลายและปลดปล่อยความรู้สึก